เรื่องของการจับโกหกมันเป็นสิ่งที่ทำกันได้แต่ว่ามันต้องอาศัยการฝึกนานมากซึ่งผมไม่ได้ฝึกเท่ากับพวกที่เป็น FBI หรือ CSI แต่เรียนมา ทีนี้ถามว่าเราอยากรู้ว่านนี้โกหกหรือเปล่าเนี่ย สิ่งที่เข้าใจผิดกันมากที่สุดคือคนโกหกจะหลบตา ซึ่งไม่เสมอไป อย่างถ้าปกติเค้าคุยดีแล้วเราถามว่าเมื่อวานไปไหนมาตอน 3 ทุ่มแล้วเค้าแบบเริ่มคิดเริ่มพูดไม่ออกเราพอจะเดาได้แต่ ก็ไม่เสมอไปเค้าอาจจะตื่นเต้นอยู่ดีๆมาถามนึกไม่ออกก็เป็นไปได้
แต่ถ้าอึกอักมากมันต้องมีอะไรแน่เราก็ถามเพิ่มแต่ต้องระวังครับทุกอย่างมันเป็นความน่าจะเป็น คุณรู้ไหมครับไอ้เครื่องจับโกหกมันจับแได้แค่ความตื่นเต้นเวลาคนนั้นถูกถามคำถาม ถ้าเกิดคนคนนั้นเค้าถูกถามโป้ง!! คุณฆ่าคนมาหรือเปล่าแล้วถ้าเครื่องจับโกหกแสดงความตื่นเต้นแบบสุดขีด ตำรวจก็อาจจะบอกว่าฆ่าเพราะตื่นเต้นเกินเหตุ
จำไว้ว่าสิ่งใดที่เป็นความจริงมักจะเป็นสิ่งที่ปกติครับ สิ่งใดที่ผิดปกติมักจะเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมามโนขึ้นมาเอง เนื่องจากคนที่เค้าพูดความจริงสมองเค้าจะใช้แค่ส่วนความทรงจำ แต่ถ้าเค้าต้อง โกหกมันจะเป็นส่วนความทรงจำบวกจินตนาการ คุณฆ่าคนหรือเปล่า? ไม่ได้ฆ่าไม่ต้องตื่นเต้นและเครื่องจับโกหกที่ว่ากราฟอาจจะขึ้นนิดนึงอะไรประมาณนี้คือตกใจมาถามงี้ได้ไง
แต่ถ้าคุณฆ่าจริงแล้วโดนถามมันจะตื่นเต้นละ เห้ยเค้าจะจับได้เปล่าวะ เรื่องที่เราสร้างมามันจะดีพอหรือเปล่า แล้วความตื่นเต้นที่เกิดจากการที่เราต้องจินตนาการมันจึงเป็นสิ่งผิดปกติ แต่เค้าอาจจะตื่นเต้นเฉยๆก็ได้ทุกอย่างมีความเป็นไปได้หมดครับ แต่ก็มีอีกกณีนึงที่นายแพทท่านนึงฆ่าภรรยาที่เป็นข่าวนานมาแล้วรู้ๆกัน มีหลักฐานมัดตัวแต่ด้วยความที่เค้าฝึกจิตเค้าฝึกความให้ตัวเองเย็น นิ่ง เค้าฝึกให้ตัวเองเชื่อว่าเค้าไม่ได้ฆ่าจริงๆ กระทำจริงแต่ในสมองเนี่ยบันทึกไว้หมดแล้วว่าไม่ได้ทำ
คุณฆ่าภรรยาของคุณหรือเปล่าไม่ครับไม่ได้ฆ่าแล้วกราฟนิ่งเพราะเค้าเชื่ออย่างนั้นเพราะฉนั้นกราฟช่วยไม่ได้สิ่งที่ ช่วยได้มากกว่านั้นคือเครื่อง FMRI คือเครื่องเอาไว้สแกนสมองคนแล้วก็ดูว่าคุณใช้พาสจินตนาการตอบเรื่องมากกว่าเดิมแสดงว่าคุณกำลังโกหกผมจำไม่ได้ว่าเปอร์เซ็นมันเท่าไหร่แต่ สูงครับ 80-90 เห็นจะได้
แม้แต่คนที่นิ่งคือนิ่งมากๆ ถึงแม้เค้านิ่งแต่เรื่องราวที่เค้าสร้างขึ้นมามันจะต้องใช้สมองส่วนจินตนาการสมองส่วนหน้าถ้ามันทำงานแสดงว่าเรากำลังสร้างเรื่อง
มันจะมีอาชญากรคนนึงที่อเมริกาผมจำชื่อไม่ได้ละโรคจิตแรงมากคือเค้าจะไปไล่ฆ่ามีเซ็กกับศพผู้หญิงประมาณ 20 คนแล้วทีนี้เค้าเริ่มสังเกตว่าผู้หญิงทุกคนที่เสียชีวิตจะไว้ผมประมาณหน้าอกแล้วเป็นผมสีบลอนด้วยคือเค้ามีสเปคของเค้าแล้วรู้ไหมเป็นเพราะอะไร ตอนที่เค้าวัยรุ่นเค้าโดนผู้หญิงคนนึงหักอกซึ่งผู้หญิงคนนั้นลักษณะเหมือนผู้หญิงที่เค้าฆ่าเพราะฉนั้นรู้เลยว่าเหนื่อรายต่อไปจะเป็นผู้หญิงแบบไหน
สิ่งที่ผมสนใจจิตวิทยามากที่สุดยิ่งกว่าการอ่านใจคน ยิ่งกว่าการเคลื่อนย้ายวัตถุคือการที่ทำไมคนเราต้องฆ่ากันเพราะผมมองว่าสุดท้ายแล้วเนี่ยทุกคนไม่อยากทำสิ่งไม่ดีหรอกเพียงแต่ว่ามันต้องมีกลไกทางจิตวิทยาบางอย่างทำให้เค้าอยากทำสิ่งนั้น
ย้อนกลับไปที่ฆาตกรคนนั้นทำไมเค้าถึงไปไล่ฆ่าผู้หญิง คำตอบคือ เค้าเจ็บปวดครับ เจ็บมากที่ผู้หญิงคนนั้นมาทิ้งและไอ้ความเจ็บที่มันสะสมอยู่เนี้ยมันทำให้เค้าพอใจเวลาเค้าฆ่าผู้หญิงได้แล้วเค้าได้มีอะไรกับศพซึ่งถามว่าทำไมผมสนใจผมอยากจะช่วยผมอยากจะเปลี่ยนคนเหล่านี้ให้เค้าหายเจ็บ
ผมเข้าใจอย่างนึงว่าคนที่ทำร้ายคนอื่นต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกทำร้ายเท่านั้น ลึกๆ ครับสร้างกำแพงขึ้นมาแล้วทำร้ายคนอื่น ถ้าเราสามารถอยู่กับความเจ็บของตัวเองได้แล้วปล่อยให้มันหายไปและเข้าใจมันได้เราจะไม่เอาความเจ็บนั้นไปให้คนอื่น
แม้แต่ฮิตเลอรู้ไหมครับเค้าเจ็บปวดมาก ตั้งแต่เด็กเค้ารู้สึกว่ายิวมีทุกอย่างมีร้านค้ามากมาย ชาวเยอรมันถูกกดขี่ เจ็บปวดที่ตอนนั้นเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเลอที่เจ็บมากต้องการที่จะเอาความเจ็บของตัวเองส่งออกเพื่อให้ตัวเองพอใจก็เลยรวมคนมาตอนนั้นเยอรมันเจ็บปวดหมดก็เลยบ้ากันไปเลยแล้วฮิตเลอเห็นยิวเป็นเหยื่อปุ๊บคือแค้นมานานแล้วไง
ทุกคนมีความเจ็บรู้ไหมครับว่าผม ณ จังหวะที่ทำให้คนอื่นเจ็บแต่ผมดันเจ็บซะเอง ง่ายๆเลยคนมาด่าเราคือเจ็บโกธรเลยใช่ไหมครับสวนเลยครับชกด่ากลับปืนยิงมีดแทงถามว่าทำไมเราต้องทำแบบนั้นเพราะเราเจ็บไง ถ้าเราสามารถที่จะรับความเจ็บมาได้แล้วรู้วิธีที่จะคลายมัน พอคลายปุ๊บเราจะไม่ส่งต่อความเจ็บนั้นให้คนอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น